วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559

พระราชวังจันทรเกษม

พระราชวังจันทรเกษม.jpg

พระราชวังจันทรเกษม

พระราชวังจันทรเกษม หรือวังหน้า ตั้งอยู่ริมแม่น้ำป่าสัก (คลองคูขื่อหน้า) ตำบลหัวรอ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นพระราชวังที่ปรากฏหลักฐานตามพระราชพงศาวดารสันนิษฐานได้ว่า สร้างขึ้นประมาณปี พ.ศ. 2120 ในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช เพื่อให้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยามเสด็จจากเมืองพิษณุโลกเพื่อมาเฝ้าพระราชบิดาที่กรุงศรีอยุธยา พระราชวังแห่งนี้พระนเรศวรทรงใช้เป็นกองบัญชาการรับศึกหงสาวดีเมื่อปี พ.ศ. 2129 นอกจากนี้ยังเคยเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์และพระมหาอุปราชที่สำคัญถึง 8 พระองค์ คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเอกาทศรถ เจ้าฟ้าสุทัศน์ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ขุนหลวงสรศักดิ์ (พระเจ้าเสือ) สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กรมพระราชวังบวรมหาเสนาพิทักษ์
ภายหลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2310 พระราชวังจันทรเกษมได้ถูกทิ้งร้างไป จนกระทั่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. 2404 ทรงโปรดฯให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชิดเชื้อพงศ์เป็นแม่กองในการดูแลก่อสร้างพระตำหนักและพลับพลาที่ประทับ จึงได้มีปรับปรุงบูรณะ เพื่อใช้สำหรับเป็นที่ประทับในเวลาที่พระองค์เสด็จประพาสพระนครศรีอยุธยา และโปรดพระราชทานนามว่า พระราชวังจันทรเกษม เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2436 ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชวังจันทรเกษมให้เป็นที่ทำการของมณฑลกรุงเก่า โดยใช้พระที่นั่งพิมานรัตยาเป็นที่ทำการ จนพระยาโบราณราชธานินทร์ ดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า ได้มีการจัดสร้างอาคารที่ทำการภาค ขึ้น แล้วย้ายที่ว่าการมณฑลจากพระที่นั่งพิมานรัตยามาตั้งที่อาคารที่ทำการภาค พระยาโบราณราชธานินทร์ ได้รวบรวมวัตถุสิ่งของสำคัญในบริเวณกรุงเก่าและบริเวณใกล้เคียงไว้เป็นจำนวนมาก มาเก็บรักษาไว้ที่พระราชวังจันทรเกษม จนในปี พ.ศ. 2445 สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงแนะนำให้พระยาโบราณราชธานินทร์ จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่เรียกว่า โบราณพิพิธภัณฑ์ โดยใช้ตึกโรงม้าพระที่นั่งเป็นที่เก็บรวมรวม
ต่อมาในปี พ.ศ. 2447 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายวัตถุต่างๆ จากโรงม้าพระที่นั่งเข้ามาเก็บรักษาและตั้งแสดงที่บริเวณอาคารพลับพลาจตุรมุข และต่อเติมระเบียงตามแนวอาคารด้านทิศเหนือและทิศตะวันออก เพื่อจัดตั้งวัตถุ ศิลาจารึก และประติมากรรมต่างๆ ใช้ชื่อพิพิธภัณฑ์ว่า อยุธยาพิพิธภัณฑ์ ต่อมา ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2479 กรมศิลปากร ได้ประกาศให้อยุธยาพิพิธภัณฑ์เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ในนาม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม

สถาปัตยกรรม

สิ่งก่อสร้างที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งใช้เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์และที่ทำการมณฑลเทศาภิบาล จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้มีการบูรณะซ่อมแซมอีกครั้ง
  • กำแพงพระราชวัง ปัจจุบันก่อเป็นกำแพงอิฐ มีใบเสมา มีประตูด้านละ 1 ประตู รวม 4 ด้าน แต่เดิมนั้นคาดว่ามีกำแพง 2 ชั้น เช่นเดียวกับวังหลวง
  • พลับพลาจตุรมุข ตั้งอยู่บริเวณกำแพงด้านหน้าชานของพลับพลา ในสมัย ร.4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างอาคารพลับพลาทรงจตุรมุขแฝด เพื่อใช้เป็นท้องพระโรงสำหรับออกงานว่าราชการ และที่ประทับในเวลาเดียวกันต่อมาแต่เดิมทีบริเวณที่ตั้งพลับพลาจตุรมุขซากแนวอาคารก่ออิฐถือปูน
  • พระที่นั่งพิมานรัตยา เป็นหมู่ตึกกลางพระราชวัง มี 4 หลัง คือ อาคารปรัศว์ซ้าย อาคารปรัศว์ขวา พระที่นั่งพิมานรัตยา และศาลาเชิญเครื่อง
  • พระที่นั่งพิสัยศัลลักษณ์ (หอส่องกล้อง) ตั้งอยู่บริเวณกำแพงด้านทิศตะวันออกและทิศใต้ เป็นอาคารหอสูง 4 ชั้น ที่สร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ต่อมาในสมัย ร. 4 ได้ทรงสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งตามแนวรากฐานอาคารเดิม และใช้เป็นที่ประทับทอดพระเนตรดวงดาว
  • ตึกโรงม้าพระที่นั่ง ตั้งอยู่ริมกำแพงด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น
  • อาคารสโมสรเสือป่า ตั้งอยู่บริเวณกำแพงพระราชวังด้านทิศตะวันออก สร้างขึ้นในสมัย ร.6
  • ตึกที่ทำการภาค (อาคารมหาดไทย) เป็นอาคารชั้นเดียว สร้างขนานไปกับแนวกำแพงด้านทิศตะวันตกต่อกับทิศใต้ สร้างขึ้นในสมัยพระยาโบราณราชธานินทร์ ดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า
  • ระเบียงจัดตั้งศิลาจำหลัก ใช้สำหรับเป็นที่เก็บรักษาบรรดาโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ แต่เดิมสร้างเป็นระเบียงหลังคามุงสังกะสี ยาวไปตามแนวกำแพงด้านทิศเหนือและทิศตะวันออก

อ้างอิง[แก้]


เพนียดคล้องช้าง

เพนียดคล้องช้าง

เพนียดคล้องช้าง คือสถานที่สำหรับการจับช้างหน้าพระที่นั่ง แต่เดิมเคยใช้พื้นที่ข้างพระราชวังจันทรเกษม จนถึงสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงย้ายมาที่ที่ตั้งอยู่ในปัจจุบัน
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ช้าง เป็นสัตว์ที่มีความสำคัญสูงมาก เป็นพาหนะของชนชั้นสูงสำหรับพระราชดำเนินทางบก และเป็นเหมือนรถถังหรือ เครื่องมือสำคัญในการนำลี้พลเข้าต่อสู้กับข้าสึก ยิ่งถ้าเป็นช้างเผือก สิ่งมงคลคู่บารมีของพระมหากษัตริย์ด้วยแล้ว พระองค์ก็จะโปรดเกล้าฯให้นำมาเลี้ยง และประดับยศศักดิ์ให้ด้วย
พระมหากษัตริย์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา น่าจะเสด็จมาทอดพระเนตรการคล้องช้างด้วยเสมอ เพราะนอกจากจะเป็นขั้นตอนในการคัดเลือกช้างแล้ว ยังเป็นมหรสพชนิดหนึ่งอีกด้วย

วิธีจับช้าง[แก้]

หมอช้างจะขี่ ช้างต่อ ล่อช้างป่าจากนอกพระนครให้เข้ามาในเพนียดแล้วคัดเฉพาะช้างที่ต้องการไว้ เมื่อจะนำมาฝึก ก็จะให้หมอช้างชี่ช้าง ๕-๗ เชือกวิ่งไล่ต้อน ผู้ที่ทำหน้าที่จับช้าง หรือ คล้องช้าง จะขี่ช้างต่อ ถือ คันจาม ไม้ด้านยาวที่ปลายด้านหนึ่งเป็นบ่วง และ ปลายเชือกผูกติดกับคอช้าง คอยหาจังหวะคล้องบ่วงเข้าที่เท้าหลังของช้าง เมื่อบ่วงรัดเท้าช้างไว้แน่น จากนั้นควาญท้ายจะโยนบ่วงที่เหลือลงจากหลังช้างเพื่อให้ช้างลากไปติดเสาตะลุง ก็เป็นอันจับช้างได้ จากนั้นจึงนำช้างต่อสองเชือกปะกบข้างแล้วนำไปยังสำโตงเตงเพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงเลือก ซึ่งการเลือกช้างนั้นจะต้องดูที่คชลักษ์เป็นหลัก แล้วจึงนำช้างแต่ละคชลักษ์ไปฝึกตามที่ตำราบอกกล่าว

สิ่งก่อสร้าง[แก้]

  • พระที่นั่งคชประเวศมหาปราสาท เป็นที่สำหรับประทับทอดพระเนตร
  • ศาลปะกำ สถานที่สำหรับทำพิธี ก่อนจับช้างเข้าเพนียด
  • มณฑปพระเทวกรรม ตั้งอยู่ตรงกลางเพนียด ประดิษฐานพระพิฆเนศซึ่งเป็นเทพแห่งช้าง
  • เสาชุง ปักเว้นระยะเพื่อทำเป็นคอก
  • ช่องกุด ประตูเล็กๆ สำหรับเจ้าหน้าที่เข้าออก
  • เชิ่งเทินก่ออิฐ เป็นกำแพงล้อมรอบเพนียด
  • เสาโตงเตง เป็นซุงที่ห้องจากด้านบน ปลายลอย มีเชือกดึงออกไปด้านข้าง เพื่อเปิดให้ช้างเข้า ทำหน้าที่เนประตู

อ้างอิง[แก้]

  • วิไลรัตน์. 2546. กรุงศรีอยุธยา. อมรินทร์พริ้นติ้ง

พระราชวังบางปะอิน

Bang Pa-In Royal Palace - Bang Pa-In.jpg

พระราชวังบางปะอิน

พระราชวังบางปะอิน ตั้งอยู่ในตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อยู่ห่างจากเกาะเมืองลงมาทางทิศใต้ประมาณ 18 กิโลเมตร[1] เป็นพระราชวังโบราณตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เนื่องจากเป็นที่ประสูติของพระองค์ ใช้เป็นสถานที่ที่ทรงใช้ประทับแรม ของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ด้วยเป็นพระราชวังใกล้พระนครนั่นเอง
หลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง พระราชวังบางปะอินถูกปล่อยให้รกร้างมาระยะหนึ่ง แต่กลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้งโดยสุนทรภู่ซึ่งได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชไปนมัสการพระพุทธบาทสระบุรีได้ประพันธ์ถึงพระราชวังบางปะอินไว้ในนิราศพระบาท จนกระทั่ง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้เริ่มการบูรณะพระราชวังขึ้น และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้บูรณะครั้งใหญ่ โดยสร้างพระที่นั่ง พระตำหนัก และตำหนักต่าง ๆ ขึ้นมากมายเพื่อใช้เป็นที่ประทับรับรองพระราชอาคันตุกะ และพระราชทานเลี้ยงในโอกาสต่าง ๆ
ปัจจุบัน พระราชวังบางปะอินอยู่ในความดูแลของสำนักพระราชวัง และยังใช้เป็นสถานที่แปรพระราชฐานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงประกอบพระราชพิธีสังเวยพระป้าย แต่ได้เปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าชมได้ โดยต้องแต่งกายให้สุภาพ

ประวัติ[แก้]

มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อครั้งที่สมเด็จพระเอกาทศรถ ยังทรงดำรงพระยศพระมหาอุปราช[2] วันหนึ่งพระองค์ได้เสด็จประพาสทางชลมารค เมื่อถึงบริเวณเกาะบางปะอิน เรือพระที่นั่งถูกพายุใหญ่พัด ทำให้เรือพระที่นั่งล่มลง สมเด็จพระเอกาทศรถทรงว่ายน้ำขึ้นไปบนเกาะนี้ ซึ่งเดิมชื่อ "เกาะบ้านเลน" และประทับอยู่กับชาวบ้าน
ในระหว่างประทับอยู่ ณ ที่นี้ สมเด็จพระเอกาทศรถได้หญิงชาวเกาะเป็นบาทบริจาริกา มีนามว่า "อิน" จึงเป็นเหตุให้คนทั่วไปเรียกเกาะนี้ต่อมาว่า "เกาะบางปะอิน" ต่อมาเมื่อพระองค์จะเสด็จกลับ พระองค์ก็ทรงพานางอินนี้กลับไปกรุงศรีอยุธยาด้วย นางอินผู้นี้จึงเป็นพระสนมในเวลาต่อมา และมีพระราชโอรสด้วยกัน เล่ากันว่าพระราชโอรสพระองค์นั้น คือ สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง[3]
เมื่อปี พ.ศ. 2175 หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงขึ้นครองราชย์แล้ว พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นตรงบริเวณนิวาสสถานเดิมของพระมารดา และได้พระราชทานนามว่า "วัดชุมพลนิกายาราม" [4] และได้สร้างพระที่นั่งองค์หนึ่งเพื่อฉลองการที่พระราชเทวีประสูติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระนารายณ์ราชกุมาร พระราชทานนามว่า "พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์" [5]พระราชวังบางปะอินจึงเป็นสถานที่ประทับของพระมหากษัตริย์ในฤดูร้อนสืบเนื่องกันมา จนกระทั่ง กรุงศรีอยุธยาได้เสียแก่พม่าเมื่อปี พ.ศ. 2310 ซึ่งทำให้พระราชวังแห่งนี้ถูกปล่อยให้รกร้างไปพระราชวังบางปะอินกลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้ง เมื่อสุนทรภู่ได้ตามเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชไปนมัสการพระพุทธบาทสระบุรี ซึ่งได้เดินทางผ่านพระราชวังบางปะอิน และได้ประพันธ์ถึงพระราชวังแห่งนี้ในนิราศพระบาท ว่า [2] [6]
รำพึงพายตามสายกระแสเชี่ยวยิ่งแสนเปลี่ยวเปล่าในฤทัยถวิล
สักครู่หนึ่งก็มาถึงบางเกาะอินกระแสสินธุ์สายชลเป็นวนวัง
อันเท็จจริงสิ่งนี้ไม่รู้แน่ได้ยินแต่ยุบลในหนหลัง
ว่าที่เกาะบางอออินเป็นถิ่นวังกษัตริย์ครั้งครองกรุงศรีอยุธยา
ครั้นมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังกรุงศรีอยุธยา ประพาสผ่านพระราชวังบางปะอิน ทอดพระเนตรเห็นความร่มรื่นโดยรอบเป็นที่ต้องพระราชหฤทัย อีกทั้งยังเป็นเขตพระราชวังเก่าในสมัยกรุงศรีอยุธยา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะพระราชวังบางปะอิน โดยสร้างพระที่นั่งองค์หนึ่งเป็นที่ประทับ เรือนแถวสำหรับเจ้านายฝ่ายในหนึ่งหลัง พลับพลาริมน้ำ และพลับพลากลางเกาะ พร้อมทั้งปฏิสังขรณ์วัดชุมพลนิกายารามขึ้นใหม่ [2]
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า บางปะอินเป็นเกาะกลางน้ำ มึความเงียบสงบ มีเส้นทางการเดินเรือได้หลายทาง สมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร และเป็นสถานที่เสด็จประพาสของพระบรมชนกนาถ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ สำหรับแปรพระราชฐานดังที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้[2]

บริเวณพระราชวัง[แก้]

พื้นที่ของพระราชวังบางปะอินนั้น แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่

เขตพระราชฐานชั้นนอก

เขตพระราชฐานชั้นนอกนั้น เป็นบริเวณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้สำหรับการออกมหาสมาคมหรือประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วย
  • หอเหมมณเฑียรเทวราช หรือ ศาลพระเจ้าปราสาททอง สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2415 - 2419 มีลักษณะเป็นปรางค์ศิลา ซึ่งจำลองแบบจากปรางค์ขอม ภายในประดิษฐานเทวรูปพระเจ้าปราสาททอง ตั้งอยู่ ณ ริมสระน้ำใต้ต้นโพธิ์
  • พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ เป็นพระที่นั่งทรงปราสาทโดยจำลองมาจากพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาทในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สร้างพระบรมรูปหล่อสำริดของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขนาดเท่าพระองค์จริงในฉลองพระองค์เต็มยศจอมพลทหารบกเพื่อนำมาประดิษฐาน ณ พระที่นั่งองค์นี้จนถึงปัจจุบัน
  • พระที่นั่งวโรภาษพิมาน รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2415 เพื่อใช้เป็นที่เสด็จออกว่าราชการ และใช้เป็นที่ประทับ เป็นตึก 2 ชั้น ศิลปะแบบคอรินเทียนออร์เดอร์ ปัจจุบัน พระที่นั่งองค์นี้ยังใช้เป็นที่ประทับแรมของพระบรมวงศ์เมื่อเสด็จแปรพระราชฐานมาประทับ ณ พระราชวังบางปะอิน
  • สภาคารราชประยูร เป็นตึกสองชั้น ตั้งอยู่ริมน้ำ รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2419 สำหรับเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอฯ ในรัชกาลที่ 5 สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ และเจ้านายฝ่ายหน้า ปัจจุบัน ใช้เป็นที่แสดงนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับพระราชวังบางปะอิน
  • กระโจมแตร เป็นกระโจมขนาดกลางแบบ Gazebo สร้างในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวตั้งอยู่เยื้องกับพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์
  • เรือนแพพระที่นั่ง รัชกาลที่5ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สร้างขึ้นเป็นเรือนแพแบบไทยสร้างด้วยไม้สักทองหลังคามุงด้วยจากภายในจัดแบ่งห้องเป็นสัดเป็นส่วนรัชกาลที่5ใช้เป็นที่ประทับพักแรมในการเสด็จประพาสต้นและทรงสำราญพระอิริยาบถทางน้ำ โดยพระองค์เคยประทับเรือนแพพระที่นั่งไปทรงรับพระราชชายาเจ้าดารารัศมีจากเมืองเชียงใหม้ด้วย

เขตพระราชฐานชั้นใน

เขตพระราชฐานชั้นใน เชื่อมต่อกับเขตพระราชฐานชั้นนอก ด้วยสะพานที่มีลักษณะพิเศษ คือมีแนวฉากคล้ายบานเกล็ดกั้นกลาง ตลอดแนวสะพาน เพื่อแบ่งเป็นทางเดินของฝ่ายหน้าด้านหนึ่งและฝ่ายในอีกด้านหนึ่ง ซึ่งฝ่ายในสามารถมองลอดออกมาโดยตัวเอง ไม่ถูกแลเห็น สะพานนี้เชื่อมจากพระที่นั่งวโรภาษพิมานกับประตูเทวราชครรไล ซึ่งเป็นประตูทางเข้าพระราชฐานชั้นในซึ่งเป็นที่ประทับของของพระมหากษัตริย์ สมเด็จพระอัครมเหสี พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน และข้าบาทบริจาริกา ประกอบด้วย

ประตูในเขตพระราชวัง[แก้]

พระราชวังบางปะอินมีประตูต่างๆดังนี้
  • ประตูราชกิจวิวรณ์
  • ประตูสาครประพาส
  • ประตูเทวราชครรไล
  • ประตูอนงค์ในจรจรัล
  • ประตูเทวัญสถิต
  • ประตูสังฆสิทธิภัตรการ
  • ประตูนงคราญประเวศ
  • ประตูอัครเรศวรดิษฐ์

เหตุการณ์สำคัญ[แก้]

กรณีสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี[แก้]

สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี เป็นพระราชธิดา ลำดับที่ 50 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมราชเทวีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 รัชกาลที่ 5 มีพระบรมราชโองการให้จัดเรือพระที่นั่งเพื่อเสด็จประพาสพระราชวังบางปะอินพร้อมพระมเหสีทุกพระองค์ แต่เนื่องจากพระองค์ทรงติดพระราชกิจ ไม่อาจเสด็จพระราชดำเนินไปตามกำหนดได้ จึงโปรดฯ ให้เรือพระที่นั่งของพระมเหสีเคลื่อนขบวนไปก่อน ระหว่างทางนั้น เรือพระประเทียบของพระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ (พระยศขณะนั้น) ประสบอุบัติเหตุล่ม ทำให้พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ สิ้นพระชนม์ทั้งสองพระองค์ รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอในพระครรภ์ (เวลานั้นทรงพระครรภ์ได้ 5 เดือน) หลังจากนั้น รัชกาลที่ 5 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอนุสาวรีย์หินอ่อนขึ้น ณ พระราชวังบางปะอิน เพื่อรำลึกถึงสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์[7]

การต้อนรับพระราชอาคันตุกะ[แก้]

พระราชวังบางปะอิน ใช้เป็นที่ต้อนรับพระราชอาคันตุกะหลายพระองค์ โดยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการต้อนรับแกรนด์ดุ๊กซาร์วิตส์แห่งรัสเซีย (พระยศขณะนั้น) ณ พระราชวังบางปะอิน ในระหว่างวันที่ 20 - 24 มีนาคม พ.ศ. 2434 ซึ่งงานรับเสด็จในครั้งนั้นเป็นงานที่ใหญ่มาก จนกระทั่ง เกิดคำพูดสำหรับคนที่ทำอะไรใหญ่ ๆ โต ๆ ว่า "ยังกับรับซาร์แห่งรัสเซีย"[8]
นอกจากนี้ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ยังใช้รับรอง และพระราชทานเลี้ยงแก่พระราชอาคันตุกะ อาทิเช่น สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์แห่งประเทศเนเธอร์แลนด์ สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก แห่งประเทศเดนมาร์ก อินฟันตาเอเลนา ดัชเชสแห่งลูโก แห่งประเทศสเปน สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรเจ้าชายฟุมิฮิโตะ เจ้าอะกิชิโนะแห่งประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น [2]

งานบำเพ็ญพระราชกุศลพระศพของพระองค์เจ้าศรีวิลัยลักษณ์

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีวิลัยลักษณ์ กรมขุนสุพรรณภาควดี เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งประสูติก่อนที่พระองค์จะเสด็จฯ ขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นพระราชธิดาคู่ทุกข์คู่ยากของรัชกาลที่ 5 หลังจากการทรงกรมเป็น "กรมขุนสุพรรณภาควดี "[9] ได้เพียง 1 ปี ก็สิ้นพระชนม์[10] รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานบำเพ็ญพระราชกุศล ณ พระราชวังบางปะอิน โดยใช้พระที่นั่งไอสวรรย์ทิพยอาสน์เป็นที่ประดิษฐานพระศพ และโปรดให้จัดงานพระราชทานเพลิงพระศพ ณ วัดนิเวศธรรมประวัติ[11] ซึ่งถือเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก จนเป็นที่กล่าวขานในหมู่ชาววังว่า ใครไม่ได้มาร่วมงานในครั้งนี้ถือเป็นคนนอกสังคมชาววัง[2]
ในระหว่างการจัดงานพระราชทานเพลิงพระศพนั้น สมเด็จเจ้าฟ้าจันทราสรัทวาร ซึ่งทรงสนิทกับพระองค์เจ้าศรีวิลัยลักษณ์มาก เกิดทรงพระประชวรและสิ้นพระชนม์ ณ วรนาฎเกษมสานต์ ภายในพระราชวังบางปะอินนั่นเอง[12][13] ซึ่งในนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้ไว้ว่า “เชิญพระศพพระเจ้าลูกเธอพระองค์หนึ่งขึ้นไป แล้วก็กลับต้องเชิญพระศพอีกพระองค์หนึ่งลงมา ”[14]

การพระราชพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์[แก้]

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชกรุณาฯ ให้ประกอบพระราชพิธีอภิเษกสมรสของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา (พระยศขณะนั้น) กับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ (พระยศขณะนั้น) ในวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2461 ณ พระที่นั่งวโรภาษพิมาน พระราชวังบางปะอิน[15] ซึ่งถือเป็นพระราชพิธีอภิเษกสมรสครั้งแรก หลังจากการตรากฎมณเฑียรบาล ว่าด้วยการเสกสมรสแห่งเจ้านายในพระราชวงศ์ ในการเสกสมรสครั้งนี้ เป็นการแต่งงานแบบตะวันอย่างแท้จริง กล่าวคือมีการถามความสมัครใจของคู่บ่าวสาว กล่าวกันว่าของชำร่วยในงานเสกสมรสครั้งคือ แหวนเพชร[2]

พระราชพิธีสังเวยพระป้าย

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระป้ายพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์เป็นภาษาจีนโดยให้ประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต และพระที่นั่งเวหาศจำรูญ พระราชวังบางปะอิน เพื่อบูชาบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว [16] ต่อมา ในรัชกาลที่ 7 ได้มีการสร้างพระป้ายพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งเวหาศจำรูญ พระราชวังบางปะอิน [2]
พระราชพิธีสังเวยพระป้ายนั้น เริ่มมีตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 การสังเวยพระป้าย ณ พระที่นั่งเวหาศจำรูญ พระราชวังบางปะอิน จะกระทำก่อนวันตรุษจีน 1 วัน ซึ่งตรงกับวันไหว้ของจีน[17] โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ มาประกอบพระราชพิธีเป็นประจำทุกปี แต่ในปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชวงศ์เสด็จแทนพระองค์เพื่อประกอบพระราชพิธี

การเข้าชม

ถึงแม้ว่าพระราชวังบางปะอินยังคงใช้เป็นสถานที่เสด็จแปรพระราชฐานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงเป็นสถานที่ในการประกอบพระราชพิธีสังเวยพระป้ายและต้อนรับพระราชอาคันตุกะ อย่างไรก็ตาม พระราชวังบางปะอินก็ยังเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้เข้าชมภายในพระราชวังได้
สำหรับพระที่นั่งวโรภาษพิมานนั้น ผู้ชายไม่ควรใส่กางเกงขาสั้น หรือสวมเสื้อที่ไม่สุภาพ สตรีต้องใส่กระโปรงเข้าชมภายในพระที่นั่ง โดยมีบริการให้ยืมเครื่องแต่งกายได้บริเวณอาคารการ์ดทหาร และพระที่นั่งวโรภาษพิมานและพระที่นั่งเวหาศน์จำรูญนั้น มีวิทยากรบรรยายความรู้เกี่ยวกับพระที่นั่งแต่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพภายในพระที่นั่ง ส่วนพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียรนั้น ไม่อนุญาตให้เข้าชมภายในพระที่นั่งได้
พระราชวังบางปะอิน เปิดให้เข้าชมทุกวันในเวลาระหว่าง 08.00 - 17.00 น. โดยต้องแต่งกายในชุดสุภาพ และขณะเข้าชมผู้ชมไม่ควรส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น

การเดินทาง[แก้]

การเดินทางมายังพระราชวังบางปะอินนั้น สามารถทำได้หลายทาง เช่น การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว ถ้ามาจากกรุงเทพฯ ให้มาตามถนนพหลโยธิน เมื่อถึงประตูน้ำพระอินทร์ ให้ข้ามสะพานวงแหวนรอบนอก หลังจากนั้น ให้เลี้ยวซ้ายบริเวณกิโลเมตรที่ 35 สู่ทางหลวงหมายเลข 308 อีกประมาณ 7 กิโลเมตรก็จะถึงพระราชวังบางปะอิน หรืออีกเส้นทางต้องผ่านเข้ามายังตัวเมืองพระนครศรีอยุธยา เมื่อถึงเจดีย์วัดสามปลื้มให้เลี้ยวซ้ายซึ่งจะผ่านวัดใหญ่ชัยมงคลและวัดพนัญเชิง เมื่อถึงสถานีรถไฟบางปะอินให้เลี้ยวขวา แล้วขับไปตามทางจนถึงพระราชวังบางปะอิน
การเดินทางโดยรถโดยสารประจำทาง ถ้ามาจากกรุงเทพฯ สถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต 2) นั่งรถสายกรุงเทพฯ-บางปะอิน มาลงที่บขส.บางปะอิน (สุดสาย) จากนั้นนั่งรถสามล้อเครื่องไปลงที่พระราชวังบางปะอิน[18]
นอกจากนี้ ยังสามารถเดินทางโดยรถไฟ มาลงที่สถานีรถไฟอำเภอบางปะอิน หรือเดินทางโดยรถโดยสารประจำทาง มาลงที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้วต่อรถโดยสารเข้าไปยังพระราชวังบางปะอิน

อ้างอิง[แก้]

  1. กระโดดขึ้น พระราชวังบางปะอิน จาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
  2. ↑ กระโดดขึ้นไป:2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 2.6 2.7 สำนักพระราชวัง, พระราชวังบางปะอิน, พิมพ์ครั้งที่ 1, พ.ศ. 2548
  3. กระโดดขึ้น ท่องแดนดินแห่งความงามที่ "พระราชวังบางปะอิน" ผู้จัดการออนไลน์, 19 กันยายน 2548
  4. กระโดดขึ้น พระราชวังบางปะอินสำนักพระราชวัง
  5. กระโดดขึ้น พระราชวังบางปะอิน : คิมหันต์อุทยานแห่งแรกขององค์ยุวกษัตริย์ ตอนที่ ๑
  6. กระโดดขึ้น ใน นิราศพระบาทของสุนทรภู่ เรียก "บางปะอิน" ว่า บางเกาะอิน หรือ เกาะบางอออิน
  7. กระโดดขึ้น พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์
  8. กระโดดขึ้น จากเพนียดคล้องช้างถึงรัสเซีย สายสัมพันธ์สองแผ่นดิน
  9. กระโดดขึ้น ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ ตั้งกรมพระเจ้าลูกเธอฝ่ายใน สถาปนาพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าศรีวิไลยลักษณ์ สุนทรศักดิ์กัลยาวดี ขึ้นเป็นกรมขุนสุพรรณภาควดี, เล่ม ๒๐, ตอน ๔๒, ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๖, หน้า ๗๒๙
  10. กระโดดขึ้น จุลลดา ภักดีภูมินทร์, เจ้านายฝ่ายใน, สกุลไทย, ฉบับที่ 2668 ปีที่ 52 ประจำวันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2548
  11. กระโดดขึ้น ราชกิจจานุเบกษา, การพระเมรุพระเจ้าลูกเธอกรมขุนสุพรรณภาควดี ที่วัดนิเวศธรรมประวัติ, เล่ม ๒๑, หน้า ๘๘๒ , ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๗
  12. กระโดดขึ้น ราชกิจจานุเบกษา, ข่าวสิ้นพระชนม์, เล่ม ๒๑, ตอน ๔๘, ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๗, หน้า ๘๙๓
  13. กระโดดขึ้น จุลลดา ภักดีภูมินทร์, พระราชอัธยาศัยในพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง, สกุลไทย, ฉบับที่ 2515 ปีที่ 49 ประจำวันอังคาร 31 ธันวาคม 2545
  14. กระโดดขึ้น จุลลดา ภักดีภูมินทร์, เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ปฐมจุลจอมเกล้า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ , สกุลไทย, ฉบับที่ 2669 ปีที่ 52 ประจำวันอังคาร 13 ธันวาคม 2548
  15. กระโดดขึ้น พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗, มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี
  16. กระโดดขึ้น การฉลองพระป้าย ที่พระราชวังบางปะอิน,ราชกิจจานุเบกษา, เล่ม ๗, หน้า ๓๒๔ , ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๓
  17. กระโดดขึ้น พระราชพิธีสังเวย, กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
  18. กระโดดขึ้น พระราชวังบางปะอิน : พระนครศรีอยุธยา เว็บไซต์ Hamanan.com

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]